วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลักษณะที่อยู่อาศัย


      ลักษณะบ้านเรือนของชาว ไทย้อ คล้ายกับบ้านเรือนของชาวไทย ตัวเรือนเป็นเรือนใต้ถุนสูง มีชายคาที่เรียกว่า เซีย มีชานติดกับครัว มีเล้าข้าวอยู่ทาง ด้านหลังบ้าน ถ้าเป็นบ้านของชาวไร่ชาวนา ทั่วไปก็จะมุงด้วยหญ้าแฝก ฝาผนังเป็นฟาก สับสานลานสอง บ้านที่มีฐานะดีก็จะ มุง ด้วยกระเบื้องเกร็ด หรือสังกะสี และ เปลี่ยนฝาผนังเป็นไม้กระดานซึ่งมีให้เห็นในปัจจุบัน ชาวย้อ นิยมสร้างบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่มสังคมย่อยในวงศ์ญาติพี่น้องของตน และเมื่อมี จำนวนมากขึ้นก็กลายเป็นหมู่บ้านหรือที่เรียกว่า คุ้มและมีวัดประจำคุ้ม


ในปัจจุบันบ้านที่มีในลักษณะนี้จะไม่ค่อยพบเห็น

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การปฏิบัติของคนไทยย้อในวันพระ(วันศีล)

                                           

               วันพระ คนเฒ่าคนแก่และชาวบ้านทั่วไปจะหยุดทำงานทุกอย่างแม้กระทั่งการตำข้าว เพื่อหยุดไปทำบุญที่วัด ความเชื่อต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนาจะแสดงออกมาในรูปของงานบุญต่าง ๆ เช่น บุญเดือน 4 ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 4 มีการทำบุญนมัสการพระธาตุท่าอุเทน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญตูบ

                      
                       ในปัจจุบันคนไทยย้อที่อยู่แถบอีสานหรือพื้นที่ใกล้เคียงจังหวัดนครพนมส่วนใหญ่จะเดินทางมานมัสการพระธาตุพนมตรงกับขึ้น 8 ค่ำเดือน 3 ถึงแรม 1 ค่ำ เดือน 3    (9 วัน 9 คืน)

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กลุ่มชาติพันธ์ุย้อ

            ไทยย้อ เดิมอยู่ที่เมืองพงสาวดี ในประเทศลาว มีหัวหน้าชื่อท้าวหม้อ ภรรยาชื่อนางสุนันทา พาครอบครัว และบ่าวไพร่ประมาณ 100 คน ล่องแพตามแม่น้ำโขงจนถึงปากแม่น้ำสงคราม และตั้งหลักปักฐานได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้านครเวียงจันทน์ และได้สร้างเมืองขึ้นชื่อเมืองไชยสุทธิ์อุตตมบุรี (ปัจจุบันคำอำเภอไชยบุรี)

        ในปี พ.ศ. 2363 ตรงกับรัชกาลที่ 3 ของไทย ท้าวหม้อหรือพระยาหงสาวดีได้พาไพร่พลอพยพเห็นโอกาสดีจึงพาไพร่ฟ้าอพยพมาอยู่ดอนหาดทรายกลางแม่น้ำโขง และขอสวามิภักดิ์สยามเข้าพบแม่ทัพนายกองของเมืองนครพนม และได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่บ้านอุเทน ต่อมาถูกยกฐานะเป็นเมืองท่าอุเทนภายใต้การดูแลของเมืองยโสธรนครพนม

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลักษณะของภาษา

                                                                                                                                                                        ภาษาชาวย้อจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาไท-กระได ชาวย้อมีภาษาพูดโดยพื้นฐานเสียงแตกต่างไปจากภาษาไทยลาว (ภาษาไทยอีสาน) ตรงที่ฐานเสียงอักษรสูง และเสียงจัตวา จะเน้นหนักในลำคอ น้ำเสียงสูง อ่อนหวาน ฐานเสียงสระ เอือ ใอ ในภาษาไทยลาวจะตรงกับฐานเสียงสระ เอีย และ เออ ตามลำดับ เช่น เฮือ เป็น เฮีย ให้ เป็น เห้อ ประโยคว่า อยู่ทาง ได เป็น อยู่ทางเลอ เจ้าสิไปไส เป็น เจ้านะไปกะเลอ เป็นต้น

ลักษณะการแต่งกาย


การแต่งกายของคนไทยย้อสมัยโบราณ


                     การแต่งกาย เอเจียน แอมอนิเย นักสำรวจชาวฝรั่งเศส ได้บันทึกเกี่ยวกับการแต่งกายของชาวย้อไว้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2425 ว่า หญิงสาวจะมีผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง คงจะเป็น คนลาวที่สวยที่สุด พวกเขาใส่กำไลเงินและนุ่งซิ่นลาย ชอบผ้าสไบสีแดงมากกว่าสีเหลือง ผู้ชายจะตัดผมสั้นแบบสยาม ไว้เคราสั้น และสวมใส่เสื้อแบบคน ลาวอื่นๆนุ่งผ้าม่วงใน ท้องถิ่น ทำจากไหมหรือฝ้ายลักษณะภูมิประเทศและที่อยู่อาศัย ชาวไทยย้อชอบตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แม่น้ำซึ่งชื่อเมือง ชาวไทยย้อมักมีคำว่า ท่าขึ้นก่อน เช่น เมืองท่าขอนยาง เมืองท่าอุเทน ลักษณะบ้านเรือนของชาว ไทย้อ คล้ายกับบ้านเรือนของชาวไทยลาวทั่วไป คือตัวเรือนเป็นเรือนใต้ถุนสูง มีชายคาที่เรียกว่า เซีย มีชานติดกับครัว มีเล้าข้าวอยู่ทาง ด้านหลังบ้าน ถ้าเป็นบ้านของชาวไร่ชาวนา ทั่วไปก็จะมุงด้วยหญ้าแฝก ฝาผนังเป็นฟาก สับสานลานสอง บ้านที่มีฐานะดีก็จะ มุง ด้วยกระเบื้องเกร็ด หรือสังกะสี และ เปลี่ยนฝาผนังเป็นไม้กระดานซึ่งมีให้เห็นในปัจจุบัน ชาวย้อ นิยมสร้างบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่มสังคมย่อยในวงศ์ญาติพี่น้องของตน และเมื่อมี จำนวนมากขึ้น ก็กลาย เป็นหมู่บ้านหรือที่เรียกว่า คุ้มและมีวัดประจำคุ้มของพวกตน

การแต่งกายของคนไทยย้อในปัจจุบัน



วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พีธีเหยาประจำปีของชาวย้อ


              จะทำในวัน 3 ค่ำของเดือน  มีกำหนด 2 วัน ในวันแรกเป็น " วันจม "  ผู้หลักผู้ใหญ่ในแต่ละบ้านจะเชิญวิญญานเจ้าที่ผีบ้าน ออกมาชุมนุมที่ " ผำ หรือ ซุ้มผี " ณ ลานสาธารณะกลางหมู่บ้าน   เพื่อทำการเซ่นไหว้ด้วยเหล้า       อาหารและขนม  โดยพิธีการเหยา  จะกระทำโดยหมอเหยาจำนวนกว่าสิบคน  ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหญิงสูงวัยที่ได้รับการสืบทอดให้เป็นหมอเหยา คาดศรีษะด้วยผ้าสีแดงเป็นเอกลักษณ์ ฟ้อนรำไปตามทำนองเพลงจากเสียงแคนและการให้จังหวะจากกลอง  ขบวนของหมอเหยาและนักดนตรีจะฟ้อนแหแหนไปรอบๆ " ผำ " หรือ " ซุ้มผ๊ " จนจบในตอนเย็น

                           ในวันสุดท้ายเป็น " วันฟู " หมอเหยาจะเอาใจภูตผีวิญญานด้วยการละเล่นต่างๆ เช่น ขี่ช้างขี่ม้าขี่เสือ  และจบด้วยการพาผีไปอาบน้ำ " สระสนาน " ก่อนที่จะพายเรือพาผีล่องเรือกลับบ้าน เป็นอันจบสิ้นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับผี  พิธีกรรมสุดท้ายของงาน ก็คือ  การตั้งขบวน " แห่ดอกไม้ส่งเมือง " เพื่อเอาความดีความงามกลับเข้าสู่บ้านเมือง  เมื่อพิธีจบลง  หมอเหยาก็จะทำพิธีผูกแขนให้กับผู้ร่วมงาน  ก่อนที่แต่ละฝ่ายจะแยกย้ายกันกลับบ้าน  
   

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ศิลปะการแสดงของชาวไทยย้อ

                             
                                                                                                                                                                                   ศิลปะการแสดง ฟ้อนไทย้อ โดยจะพบในช่วงเทศกาลสงกรานต์เดือนเมษายน และเทศกาลที่สำคัญ ๆ เท่านั้น ในช่วงสงกรานต์นั้นชาวไทย้อจะมีการสงน้ำพระ ในตอนกลางวันโดย มีการตั้งขบวนแห่จากคุ้มเหนือไปยังคุ้มใต้ตามลำดับ ตั้งแต่ขึ้นหนึ่งค่ำเป็นไป จนถึงวันเพ็ญสิบห้าค่ำ เดือนห้า


             ส่วนในตอนกลางคืนหนุ่มสาวจะ จัดขบวนแห่นำต้นดอกจำปา (ลั่นทม) ไปบูชาวัดที่ผ่านไปเริ่มจากวัดใต้สุดขึ้นไปตามลำดับถึงวัดเหนือสุดซึ่งเป็นคืนสุดท้าย เสร็จพิธีแห่ดอกไม้บูชาองค์พระธาตุท่าอุเทน จะเป็นช่วงแห่งการเกี้ยวพาราสี การหยอกล้อกัน อย่างสนุกสนานของบรรดาหนุ่มสาวชาวไทย้อ (พระกฐินพระราชทาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม . 2541 นอกจากนี้ก็เป็นการแสดงและเครื่องดนตรีเหมือนกับชาวไทอีสานทั่วไป

ระบบเศรฐกิจและระบบสาธารณสุข

                     


                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                      ระบบเศรษฐกิจ ชาวไทย้อมีอาชีพด้านเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะการปลูกพืชเศรษฐกิจซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ข้าว กล้วย อ้อย สับปะรด ยาสูบ และพืชผักตามฤดูกาล รองลงมาได้แก่ อาชีพเลี้ยงสัตว์ และจับสัตว์น้ำในลำน้ำ เนื่องจากว่ามีการตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แม่น้ำ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำสงครามและแม่น้ำชี

          การบริโภคและระบบสาธารณสุข ชาวย้อรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก และรับประทานข้าวเจ้าในบางโอกาส ไม่นิยมรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เหมือนชาวไทยลาว อาหารพื้น เมืองที่มีรับประทานเฉพาะในหมู่ไทย้อ ทำจากปลากราย เรียกว่า “หมกเจาะ” ส่วนอาหารประเภทอื่นก็เหมือนกับชาวไทยลาวทั่วไป  ส่วนการรักษาพยาบาลของไทย้อนั้นมีทั้งรักษาด้วยแผนปัจจุบันและแผนโบราณ สำหรับแผนโบราณนั้นก็จะมีการรักษาด้วยยาสมุนไพร และการรักษาด้วยเวทย์มนต ์คาถา โดยมีหมอธรรมเป็นผู้รักษา ในกรณีที่มีการเจ็บป่วยหาสาเหตุไม่พบหรือ ที่เชื่อว่าเป็นการกระทำของภูตผีวิญญาณ หรือที่เรียกว่า “ ผีเข้าเจ้าสูน ” อาจจะเป็นผีพระภูมิเจ้าที่ ผีเชื้อ หรือผีบรรพบุรุษ ผีเข้าสิง เสียขวัญ และถูกผีปอบเข้าสิง ในกรณีที่ผีปอบเข้าสิงยิ่งเป็นอันตรายต่อคนป่วยอย่างยิ่ง ถ้าเรียกหมอธรรมมารักษาไม่ทัน ผีปอบอาจจะกินคนป่วย จน ตาย เพราะอาการที่โดยปอบเข้าสิงนั้นมักจะอาละวาด แสดงอาการไม่เกร็งกลัว หรือดูถูกหมอธรรม ผู้ที่เป็นหมอธรรมจะต้องมีสายสิญจน์ แส้หวาย (ปะกำ) แล้วถามชื่อผีปอบว่า ชื่อ อะไร มาจากไหน หมอธรรมจะ ใช้แส้ปะกำโบย แล้วใช้สายสิญจน์มัดผู้ป่วยเอาไว้ แล้วสอนสัมทับอีกว่าต่อไปจะไม่มาทำผู้อื่นอีกโดยให้กินน้ำสาบานแล้วขอขมากับหมอธรรม โดยใช้ ลิ้นเลียปลายเท้า แล้วสัญญาว่าจะไม่กลับมาทำร้ายผู้ป่วยอีก  ยาสมุนไพรที่ชาวไทย้อนำมาใช้รักษาโรคส่วนมากแล้วจะเป็นพืชผักที่อยู่ใกล้ตัว เช่น
1. กำลังพระยาเสือโคร่ง เป็นยาชูกำลัง
2.ผลมะเกลือ ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
3.ปลีแดง โง นำมาต้มรวมกันแก้ร้อนในและขับเลือด
4.ขิงเป็นยาอายุวัฒนะ และแก้โรคทางท้อง

ความเป็นมาของชาวไทยย้อ

       
                                                                                                                                                                ไทยย้อเป็นชาวไทยในภาคอีสานอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งชอบเรียกตัวเองว่าเป็นชาวย้อ เช่น ชาวย้อในจังหวัดสกลนคร, ชาวย้อในจังหวัดกาฬสินธุ์ (ตำบลท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย), ช้าวย้อในจังหวัดนครพนม (อำเภอท่าอุเทน) และชาวย้อในจังหวัดมุกดาหาร (ตำบลดงเย็น อำเภอเมือง) ภาษาและสำเนียงชาวย้ออาจผิดเพี้ยนไปจากชาวอีสานบ้างเล็กน้อย ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวย้อมีผู้ค้นพบว่าเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองปันนาหรือยูนนาน ต่อมาชาวย้อบางส่วนได้อพยพลงมาตามลำน้ำโขง ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหงษา แขวงไชยบุรีของลาวปัจจุบัน เมืองหงษาเดิมอยู่ในเขตของราชอาณาจักรไทยแล้วตกไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและลาวต่อมา แขวงไชยบุรีของลาวเคยกลับคืนมาเป็นดินแดนของประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งระหว่าง พ.ศ.2483 ถึง พ.ศ.2489 เรียกว่า "จังหวัดล้านช้าง" แต่ก็ต้องคืนดินแดนส่วนนี้ไปให้ฝรั่งเศสและลาวอีกครั้งหนึ่ง
           ต่อมาชาวไทยย้ออีกส่วนหนึ่งได้อพยพมาตามลำน้ำโขงและตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองไชยบุรี (ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม) ในสมัยราชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2351 ครั้นเมื่อเกิดกบฎเจ้า อนุวงษ์เวียงจันทน์ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2369 พวกไทยย้อเมืองไชยบุรีถูกกองทัพเจ้าอนุวงษ์กวาดต้อนให้กลับมาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอีกและได้ตั้งขึ้นเป็นเมืองท่าอุเทนเมื่อ พ.ศ.2373 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวพระปทุม เจ้าเมืองหลวงปุงเลง เป็น "พระศรีวรราช" เจ้าเมืองคนแรก คือท้องที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในปัจจุบัน
นอกจากนี้ไทยย้อจากเมืองคำเกิด, คำม่วนยังได้อพยพมาตั้งเป็นเมืองท่าขอนยาง ขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ ใน พ.ศ.2387 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวคำก้อนจากเมืองคำเกิด เป็น "พระสุวรรณภักดี" เจ้าเมืองท่าขอนยางขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ ปัจจุบันคือท้องที่ตำบลท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งยังมีไทยย้ออยู่ที่บ้านท่าขอนยาง, บ้านกุดน้ำใส, บ้านยาง, บ้านลิ้นฟ้า, บ้านโพนและยังมีไทยย้ออยู่ที่บ้านนายุง จังหวัดอุดรธานี บ้านกุดนางแดง, บ้านหนามแท่งอำเภอพรรณานิคม, บ้านจำปา, บ้านดอกนอ, บ้านบุ่งเป้า, บ้านนาสีนวลอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร บ้านโพนสิม, บ้านหนองแวง, บ้านสา อำเภอยางตลาดและบ้านหนองไม้ตาย อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
         

           ส่วนไทยย้อในจังหวัดสกลนครอพยพมาจากเมืองมหาชัยทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงซึ่งเป็นดินแดนลาวในปัจจุบัน เมืองมหาชัยอยู่ห่างจากแม่น้ำโขงและเมืองนครพนมประมาณ 50 ก.ม. ไทยย้อจากเมืองมหาชัยอพยพข้ามโขงมาตั้งอยู่ริมหนองหารในสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งขึ้นเป็นเมืองสกลนครเมื่อ พ.ศ.2381 ในท้องที่จังหวัดมุกดาหาร มีไทยย้ออยู่ที่ตำบลดงเย็น อำเภอเมืองมุกดาหารและยังมีไทยย้อ อยู่ในท้องที่อำเภอนิคมคำสร้อยอีกบางหมู่บ้าน ซึ่งอพยพมาจากเมืองคำเกิดคำม่วนในสมัยรัชกาลที่ 3