วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผ้าไทยพื้นบ้านของคนไทยย้อ

       ชาวไทยย้อถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือนโดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็กทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีก







       เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรมการผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม กลุ่มอีสานเหนือ เป็นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง และยังมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆเช่น ข่า ผู้ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสานส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากฝ้ายและไหม แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกัยในแถบอีสานเหนือคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อุปกรณ์หลักในการทำมาหากินของคนไทยย้อ

         ปัจจุบันเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์การทำมาหากินบางอย่างทางภาคอีสานหรือรวมถึงคนไทยย้อใกล้สูญหายไปแล้ว แม้แต่ในชนบทยังเหลือน้อยหรือแทบไม่หลงเหลืออยู่เลยนอกจากในพิพิธภัณฑ์
เป็นที่น่าใจหายไม่น้อยเมื่อวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมค่อยๆถูกกลืนทีละน้อยๆ จากค่านิยมใหม่ๆอันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าก้าวล้ำทางเทคโนโลยีต่างๆ จึงอดคิดไม่ได้ถ้าหากความภาคภูมิของบรรพบุรุษต้องมาเลือนหายไปอย่างไม่ย้อนคืน 



ข่อง

สวิง จอบ


           แต่คนไทยย้อบางส่วนหรือคนบางพื้นที่ก็ยังมีใช้อยู่เป็นส่วนน้อยเพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังตลอดจนผู้ใฝ่รู้และเพื่อเตือนความจำให้กับผู้อ่านทุกท่าน ให้คิด หวนกลับไปถึงอดีตที่มากล้นความโอบอ้อมอารี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนร่วมสังคม การดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายพอเพียง ท่ามกลางบรรยากาศไอดินกลิ่นควาย ทุกอย่าง อุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลาในนามีข้าว อย่างไรก็ตามเมื่ออดีตที่จะเลือนหายแต่ไม่อยาก ให้หายไปจากความทรงจำ เพื่อให้ทรนงตนในศักดิ์ศรีและบรรพบุรุษ 

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อาหารพื้นบ้านชนเผ่าไทยย้อ(หมกต่อสูตรไทยย้อ)

            ตัวต่อเป็นแมลงพิษร้ายแรง โดยเฉพาะต่อหัวเสือจำนวนมากๆ ต่อยคนเสียชีวิตได้ เพราะพิษเหล็กในรุนแรง แต่จะดุแค่ไหน ลูกอ่อนของตัวต่อที่อยู่ในรัง ก็ไม่พ้นเป็นอาหารอันโอชะของคนไทยย้อรวมถึงชาวอีสาน  ไปแล้วต่อแทบทุกชนิดทำรังบนต้นไม้  (ยกเว้น ต่อหลุม อาศัยหลุมโพรงหรือจอมปลวกเก่าทำรังบนดิน ว่ากันว่าดุกว่าต่อทุกชนิด) แต่ไม่ถูกกับมดแดง สังเกตได้ว่าสัตว์สองชนิดนี้ไม่อยู่ใกล้กัน
         วิธีที่จะไปตัดรังเพื่อเอาตัวอ่อน ต้องใส่หมวกกันน็อกปิดหน้า ใส่เสื้อกันฝนสวมถุงมือและแว่นตา ใช้ฟางหรือผ้าชุบน้ำมันเบนซินมัดปลายไม้ไผ่ แล้วสุมใกล้รังเพื่อให้เกิดควัน ให้ตัวต่อบินหนีจากรังแล้วตัดเอา  อีกวิธีหนึ่ง ถ้าเดินไปพบตัวต่อ ชาวบ้านจะจับตั๊กแตนมาเสียบไม้ล่อ มันจะตามพวกทิ้งรังมากัดกิน เหลือรังที่ไม่มีตัวต่ออยู่ ก็ไปตัดเอาได้รังต่อมาแล้ว นึ่งให้สุกทั้งรังประมาณ 10-15 นาที จากนั้นเคาะเอาตัวอ่อนออกมา เตรียมเครื่องปรุงไว้ มีหอมแดงหั่น ต้นหอม ผักนางรัก ผักอีแง่ ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกแห้งหรือพริกสด เกลือ และปลาร้าเล็กน้อยคลุกเคล้าตัวอ่อนของต่อมกับเครื่องปรุง ตอกไข่ไก่ลงไป 1-2 ฟอง คลุกกันอีกครั้งจนส่วนผสมจับกันเป็นก้อน ตักใส่ใบตอง ย่างเตาถ่านประมาณ 20-30 นาที แกะใบตองออก ได้หมกต่อหอมกรุ่นรสแซบ  หมกต่อหาชิมได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นอาหารของชาวไทยญ้อ พื้นถิ่นอีสาน มาแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้น ถึงอยากจะลอง แต่ต้องยุ่งกับแมลงมีพิษ ไม่เชี่ยวชาญชำนาญจริงๆ ไม่ควรทำ

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การละเล่นจ้ำจี้ของเด็กไทยย้อ

        การละเล่นจ้ำจี้เป็นการละเล่นของเด็กไทยที่มีมาแต่โบราณและเด็กๆในสมัยนั้นนิยมกันเล่นและได้มีเพลงหลายเพลงที่มีการดัดแปลงหลายเรื่องราว ซึ่งการละเล่นนี้เป็นการละเล่นที่เล่นง่ายและมีความเพลิดเพลินในการเล่น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยย้อที่นิยมเล่นกันแต่เป็นเด็กทั่วๆไปที่รู้จักการละเล่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยโซ่ หรือเด็กผูไท ที่ได้รับการฝึกเล่นจากคุณครูหรืจากผู้ใหญ่ และการละเล่นนี้ก็เป็นการละเล่นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน


         วิธีการเล่น จำนวนผู้เล่นจะมีจำนวน 3-4 คนผู้เล่นจะวางมือบนพื้น แล้วเด็กคนแรกเป็นคนชี้นิ้วไปเรื่อยๆ พร้อมกับร้องเพลง จ้ำจี้มะเขือเปาะ เมื่อร้องจบแล้วนิ้วชี้ไปตกที่นิ้วของใคร คนนั้นจะต้องหดนิ้วไว้ในอุ้งมือ จากนั้นก็เริ่มร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายนิ้วใครขาดหายไปมากที่สุดจะถือว่าเป็นผู้แพ้

เพลงประกอบ
       
จ้ำจีมะเขือเปราะ
พายเรืออกแอ่น
สาวๆ หนุ่มๆ
 
อาบน้ำท่าวัด
เอากระจกที่ไหนส่อง
กะเทาะหน้าแว่น
กระแท่นต้นกุ่ม
อาบน้ำท่าไหน
เอาแป้งที่ไหนผัด
เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องฮู้

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การละเล่นไม้ขาโถกเถกของคนไทยย้อ


     การละเล่นไม้ขาโถกเถกเป็นการละเล่นของเด็กไทยที่มีมาแต่โบราณและเด็กๆในสมัยนั้นนิยมกันเล่นและเป็นการแข่งขันที่เด็กๆชอบลุ้นกันในตอนเล่น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยย้อที่นิยมเล่นกันแต่เป็นเด็กทั่วๆไปที่รู้จักการละเล่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยโซ่ หรือเด็กผูไท ที่ได้รับการฝึกเล่นจากคุณครูหรืจากผู้ใหญ่ และการละเล่นนี้ก็เป็นการละเล่นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน
      อุปกรณ์และวิธีการเล่น อุปกรณ์ ไม้ไผ่กิ่ง ๒ ลำ ถ้าไม่มีก็เจาะรูแล้วเอาไม้อื่นๆ สอดไว้เพื่อให้เป็นที่วางเท้าได้   วิธีการเล่น ผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลำตรง ๆ ที่มีกิ่ง ๒ ลำที่กิ่งมีไว้สำหรับวางเท้าต้องเสมอกันทั้ง ๒ ข้าง ผู้เล่นขึ้นไปยืนบนแขนงไม้เวลาเดินยกเท้าข้างไหนมือที่จับลำไม้ไผ่ก็จะยกข้างนั้น ส่วนมากเด็ก ๆ ที่เล่นมักจะมาแข่งขันกัน ใครเดินได้ไวและไม่ตกจากไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ โอกาสที่จะเล่นการวิ่งขาโถกเถก ถือเป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การละเล่นงูกินหางของคนไทยย้อ

                 

             การละเล่นงูกินหางเป็นการละเล่นของเด็กไทยที่มีมาแต่โบราณและเด็กๆในสมัยนั้นนิยมกันเล่นเพราะได้เล่นพร้อมกันหลายๆคน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยย้อที่นิยมเล่นกันแต่เป็นเด็กทั่วๆไปที่รู้จักการละเล่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยโซ่ หรือเด็กผูไทย ที่ได้รับการฝึกเล่นจากคุณครูหรืจากผู้ใหญ่ และการละเล่นนี้ก็เป็นการละเล่นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน








               วิธีการเล่น ผู้เล่นจะต้องมีจำนวน 8-10คน แบ่งผู้เล่นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ 1 จะต้องเป็น พ่องู” 1 คน ฝ่ายที่ 2 มี แม่งู” 1 คน ที่เหลือเป็น ลูกงู ซึ่งผู้เล่นเป็นลูกงูจะต้องเกาะเอวผู้เล่นเป็นแม่งู จากนั้น พ่องูเริ่มถามว่า แม่งูเอ๋ย แม่งูและลูกงูก็ร้องตอบว่า เอ๋ย พอช่วงท้ายพ่องูถามว่า กินหัว กินหาง แม่งูตอบว่ากินกลางตลอดตัว ผู้เป็นพ่องูจะไล่จับลูกงูจากปลายแถว ฝ่ายแม่งูจะต้องกางมือเพื่อป้องกันลูก หากลูกงูตัวใดถูกพ่องูดึงจนหลุดออกจากแถวไป ก็จะต้องออกจากการเล่น ผู้เล่นที่เหลือก็เริ่มเล่นกันอีกจนกว่าลูกงูจะถูกจับจนหมด

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประเพณีชักพระ

             ประเพณีชักพระหรือลากพระ เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาสันนิฐานว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอินเดีย   ต่อมาพุทธศาสนิกชนได้นำเอาคติความเชื่อดังกล่าวมา แล้วดัดแปลงปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา เมื่อพุทธศาสนาได้เผยแพร่ถึงภาคใต้ของประเทศไทย จึงได้นำประเพณีชักพระเข้ามาด้วยและคนไทยย้อก็ได้นับถือหรือปฏิบัติตามกันมาจนถึงปัจจุบันเหมือนกันกับคนไทยส่วนใหญ่
          ประเพณีชักพระ เป็นประเพณีเนื่องในพุทธศาสนากระทำหลังจากวันมหาปวารณาหรือวันออกพรรษา 1 วัน ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 โดยพุทธศาสนาสนิกชนพร้อมใจกันอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบกที่วางอยู่เหนือเรือรถ หรือล้อเลื่อน แล้วแห่แหนชักลากไปตามลำน้ำหรือตามถนนหนทาง ถ้าท้องถิ่นในอยู่ริมน้ำหรือมีลำคลอง ก็ลากพระทางน้ำ ถ้าห่างไกลลำคลองก็ลากพระทางบก แล้วแต่สภาพภูมิประเทศเหมาะแก่การลากประเภทไหนมากกว่ากัน บางท้องที่ในจังหวัดตรัง พัทลุง และสงขลา มีการลากพระบกในวันแรม 1 ค่ำ ในเดือน 5 ก็มีในประเพณีลากพระของชาวใต้มีมาแต่โบราณและก่อให้เกิดวัฒนธรรมอื่น ๆ สืบเนื่องหลายอย่าง เช่น ประเพณีการแข่งเรือพาย การชัน (ประชัน) โพนหรือแข่งโพน การประชันปืดหรือแข่งปืด กีฬาชัดต้ม การทำต้มย่าง และการเล่นเพลงเรือ เป็นต้น