วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558
ความเชื้อในหมู่บ้าน
คนไทยย้อมีประเพณีและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากชนเผ่าอื่นๆแต่ยังมีบางส่วนบางความเชื้อนั้นเหมือนกันกับชนเผ่าอื่นๆอีกมากมายและคนไทยย้อนั้นมีความเชื้อที่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตายของคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง หรือเป็นหมู่บ้านเดียวกัน แต่ในปัจจุบันคนไทยย้อส่วนใหญ่ก็ยังนับถือ และปฏิบัติตามประเพณีและความเชื่อกันอยู๋ โดยส่วนมากจะแบ่งการกระทำหลังจากมีคนเสียชีวิตแล้ว บ้านที่อยู่ใกล้ หรือคุ้มนั้นๆ จะต้องปฏิบัติตามความเชื้อโดยจะถือการไม่ซักผ้า ไม่สระผม เพราะการกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนว่าเป็นการซักผ้า หรือสระผมให้คน คนนั้นที่เสียชีวิตแล้ว(คนไทยย้อนิยมเรียกกันว่าเป็นการซักผ้าหรือสระผมให้ผี)ซึ่งจะเป็นการสือถึงคนที่กระทำว่าจะไม่ดี หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนนั้น ที่เกียวกับเรื่องที่ไม่ดี หรือเป็นการตักเตือนว่าคน คนนั้นจะมีปัญหาไม่ว่าจะมีความเจ็บป่วยหรือไม่สบายเล็กน้อย หรือมากกว่านี้ก็ได้ แต่ในปัจจุบันคนไทยย้อก็ยังสืบทอดต่อๆกันมาจนถึงรุ่นลูกและรุ่นหลาน จนถึงทุกวันนี้
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558
เครื่องจักสานของคนไทยย้อ
ในปัจจุบันคนไทยย้อส่วนใหญ่ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่นั้นที่ยังคงสืบทอดและอนุรักษ์การสานเครื่องใช้จากไม้ไผ่และทำให้ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพ
ด้านการเกษตรเป็นหลัก จึงจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือเครื่องใช้จากการจักสาน
เพราะสามารถนำวัตถุ ในท้องถิ่นมาผลิตได้ด้วยตนเอง
และยังเป็นเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านที่มีประโยชน์ใช้สอยได้ดีเครื่องจักสานภาคอีสานหรือคนไทยย้อ
ส่วนมากทำจากไม้ไผ่ ได้แก่ เครื่องจักสานพวกภาชนะต่าง
ๆ เช่นกระติบข้าว กระด้ง สุ่มไก่
กระติบข้าวปัจจุบันและกระติบข้าวสมัยก่อน
ตะกร้าไม้ไผ่
สุ่มไก่
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ผ้าไทยพื้นบ้านของคนไทยย้อ
ชาวไทยย้อถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือนโดยผู้หญิงในวัยต่างๆ
จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็กทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ
ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม
และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว
ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีก
เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรมการผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม
กลุ่มอีสานเหนือ เป็นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง
และยังมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆเช่น ข่า ผู้ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ
ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสานส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากฝ้ายและไหม
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกัยในแถบอีสานเหนือคือ
ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา
วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
อุปกรณ์หลักในการทำมาหากินของคนไทยย้อ
ปัจจุบันเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์การทำมาหากินบางอย่างทางภาคอีสานหรือรวมถึงคนไทยย้อใกล้สูญหายไปแล้ว แม้แต่ในชนบทยังเหลือน้อยหรือแทบไม่หลงเหลืออยู่เลยนอกจากในพิพิธภัณฑ์
เป็นที่น่าใจหายไม่น้อยเมื่อวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมค่อยๆถูกกลืนทีละน้อยๆ จากค่านิยมใหม่ๆอันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าก้าวล้ำทางเทคโนโลยีต่างๆ จึงอดคิดไม่ได้ถ้าหากความภาคภูมิของบรรพบุรุษต้องมาเลือนหายไปอย่างไม่ย้อนคืน
แต่คนไทยย้อบางส่วนหรือคนบางพื้นที่ก็ยังมีใช้อยู่เป็นส่วนน้อยเพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังตลอดจนผู้ใฝ่รู้และเพื่อเตือนความจำให้กับผู้อ่านทุกท่าน
ให้คิด หวนกลับไปถึงอดีตที่มากล้นความโอบอ้อมอารี
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนร่วมสังคม การดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายพอเพียง
ท่ามกลางบรรยากาศไอดินกลิ่นควาย ทุกอย่าง อุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลาในนามีข้าว
อย่างไรก็ตามเมื่ออดีตที่จะเลือนหายแต่ไม่อยาก ให้หายไปจากความทรงจำ
เพื่อให้ทรนงตนในศักดิ์ศรีและบรรพบุรุษ เป็นที่น่าใจหายไม่น้อยเมื่อวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมค่อยๆถูกกลืนทีละน้อยๆ จากค่านิยมใหม่ๆอันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าก้าวล้ำทางเทคโนโลยีต่างๆ จึงอดคิดไม่ได้ถ้าหากความภาคภูมิของบรรพบุรุษต้องมาเลือนหายไปอย่างไม่ย้อนคืน
ข่อง
สวิง จอบ
วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
อาหารพื้นบ้านชนเผ่าไทยย้อ(หมกต่อสูตรไทยย้อ)
ตัวต่อเป็นแมลงพิษร้ายแรง โดยเฉพาะต่อหัวเสือจำนวนมากๆ
ต่อยคนเสียชีวิตได้ เพราะพิษเหล็กในรุนแรง แต่จะดุแค่ไหน
ลูกอ่อนของตัวต่อที่อยู่ในรัง ก็ไม่พ้นเป็นอาหารอันโอชะของคนไทยย้อรวมถึงชาวอีสาน ไปแล้วต่อแทบทุกชนิดทำรังบนต้นไม้ (ยกเว้น ต่อหลุม อาศัยหลุมโพรงหรือจอมปลวกเก่าทำรังบนดิน
ว่ากันว่าดุกว่าต่อทุกชนิด) แต่ไม่ถูกกับมดแดง
สังเกตได้ว่าสัตว์สองชนิดนี้ไม่อยู่ใกล้กัน
วิธีที่จะไปตัดรังเพื่อเอาตัวอ่อน ต้องใส่หมวกกันน็อกปิดหน้า ใส่เสื้อกันฝนสวมถุงมือและแว่นตา ใช้ฟางหรือผ้าชุบน้ำมันเบนซินมัดปลายไม้ไผ่ แล้วสุมใกล้รังเพื่อให้เกิดควัน ให้ตัวต่อบินหนีจากรังแล้วตัดเอา อีกวิธีหนึ่ง ถ้าเดินไปพบตัวต่อ ชาวบ้านจะจับตั๊กแตนมาเสียบไม้ล่อ มันจะตามพวกทิ้งรังมากัดกิน เหลือรังที่ไม่มีตัวต่ออยู่ ก็ไปตัดเอาได้รังต่อมาแล้ว นึ่งให้สุกทั้งรังประมาณ 10-15 นาที จากนั้นเคาะเอาตัวอ่อนออกมา เตรียมเครื่องปรุงไว้ มีหอมแดงหั่น ต้นหอม ผักนางรัก ผักอีแง่ ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกแห้งหรือพริกสด เกลือ และปลาร้าเล็กน้อยคลุกเคล้าตัวอ่อนของต่อมกับเครื่องปรุง ตอกไข่ไก่ลงไป 1-2 ฟอง คลุกกันอีกครั้งจนส่วนผสมจับกันเป็นก้อน ตักใส่ใบตอง ย่างเตาถ่านประมาณ 20-30 นาที แกะใบตองออก ได้หมกต่อหอมกรุ่นรสแซบ หมกต่อหาชิมได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นอาหารของชาวไทยญ้อ พื้นถิ่นอีสาน มาแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้น ถึงอยากจะลอง แต่ต้องยุ่งกับแมลงมีพิษ ไม่เชี่ยวชาญชำนาญจริงๆ ไม่ควรทำ
วิธีที่จะไปตัดรังเพื่อเอาตัวอ่อน ต้องใส่หมวกกันน็อกปิดหน้า ใส่เสื้อกันฝนสวมถุงมือและแว่นตา ใช้ฟางหรือผ้าชุบน้ำมันเบนซินมัดปลายไม้ไผ่ แล้วสุมใกล้รังเพื่อให้เกิดควัน ให้ตัวต่อบินหนีจากรังแล้วตัดเอา อีกวิธีหนึ่ง ถ้าเดินไปพบตัวต่อ ชาวบ้านจะจับตั๊กแตนมาเสียบไม้ล่อ มันจะตามพวกทิ้งรังมากัดกิน เหลือรังที่ไม่มีตัวต่ออยู่ ก็ไปตัดเอาได้รังต่อมาแล้ว นึ่งให้สุกทั้งรังประมาณ 10-15 นาที จากนั้นเคาะเอาตัวอ่อนออกมา เตรียมเครื่องปรุงไว้ มีหอมแดงหั่น ต้นหอม ผักนางรัก ผักอีแง่ ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกแห้งหรือพริกสด เกลือ และปลาร้าเล็กน้อยคลุกเคล้าตัวอ่อนของต่อมกับเครื่องปรุง ตอกไข่ไก่ลงไป 1-2 ฟอง คลุกกันอีกครั้งจนส่วนผสมจับกันเป็นก้อน ตักใส่ใบตอง ย่างเตาถ่านประมาณ 20-30 นาที แกะใบตองออก ได้หมกต่อหอมกรุ่นรสแซบ หมกต่อหาชิมได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นอาหารของชาวไทยญ้อ พื้นถิ่นอีสาน มาแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้น ถึงอยากจะลอง แต่ต้องยุ่งกับแมลงมีพิษ ไม่เชี่ยวชาญชำนาญจริงๆ ไม่ควรทำ
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
การละเล่นจ้ำจี้ของเด็กไทยย้อ
การละเล่นจ้ำจี้เป็นการละเล่นของเด็กไทยที่มีมาแต่โบราณและเด็กๆในสมัยนั้นนิยมกันเล่นและได้มีเพลงหลายเพลงที่มีการดัดแปลงหลายเรื่องราว
ซึ่งการละเล่นนี้เป็นการละเล่นที่เล่นง่ายและมีความเพลิดเพลินในการเล่น
ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยย้อที่นิยมเล่นกันแต่เป็นเด็กทั่วๆไปที่รู้จักการละเล่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยโซ่ หรือเด็กผูไท ที่ได้รับการฝึกเล่นจากคุณครูหรืจากผู้ใหญ่
และการละเล่นนี้ก็เป็นการละเล่นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน
|
|||
เพลงประกอบ
|
|||
วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
การละเล่นไม้ขาโถกเถกของคนไทยย้อ
การละเล่นไม้ขาโถกเถกเป็นการละเล่นของเด็กไทยที่มีมาแต่โบราณและเด็กๆในสมัยนั้นนิยมกันเล่นและเป็นการแข่งขันที่เด็กๆชอบลุ้นกันในตอนเล่น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยย้อที่นิยมเล่นกันแต่เป็นเด็กทั่วๆไปที่รู้จักการละเล่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยโซ่ หรือเด็กผูไท ที่ได้รับการฝึกเล่นจากคุณครูหรืจากผู้ใหญ่ และการละเล่นนี้ก็เป็นการละเล่นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน
อุปกรณ์และวิธีการเล่น อุปกรณ์
ไม้ไผ่กิ่ง ๒ ลำ ถ้าไม่มีก็เจาะรูแล้วเอาไม้อื่นๆ สอดไว้เพื่อให้เป็นที่วางเท้าได้ วิธีการเล่น ผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลำตรง ๆ ที่มีกิ่ง ๒
ลำที่กิ่งมีไว้สำหรับวางเท้าต้องเสมอกันทั้ง ๒ ข้าง
ผู้เล่นขึ้นไปยืนบนแขนงไม้เวลาเดินยกเท้าข้างไหนมือที่จับลำไม้ไผ่ก็จะยกข้างนั้น
ส่วนมากเด็ก ๆ ที่เล่นมักจะมาแข่งขันกัน ใครเดินได้ไวและไม่ตกจากไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ โอกาสที่จะเล่นการวิ่งขาโถกเถก ถือเป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาส
โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์
วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
การละเล่นงูกินหางของคนไทยย้อ
การละเล่นงูกินหางเป็นการละเล่นของเด็กไทยที่มีมาแต่โบราณและเด็กๆในสมัยนั้นนิยมกันเล่นเพราะได้เล่นพร้อมกันหลายๆคน
ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยย้อที่นิยมเล่นกันแต่เป็นเด็กทั่วๆไปที่รู้จักการละเล่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยโซ่ หรือเด็กผูไทย ที่ได้รับการฝึกเล่นจากคุณครูหรืจากผู้ใหญ่
และการละเล่นนี้ก็เป็นการละเล่นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน
|
วิธีการเล่น ผู้เล่นจะต้องมีจำนวน
8-10คน แบ่งผู้เล่นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ 1 จะต้องเป็น “พ่องู” 1 คน ฝ่ายที่ 2 มี “แม่งู” 1 คน ที่เหลือเป็น “ลูกงู” ซึ่งผู้เล่นเป็นลูกงูจะต้องเกาะเอวผู้เล่นเป็นแม่งู
จากนั้น พ่องูเริ่มถามว่า “แม่งูเอ๋ย” แม่งูและลูกงูก็ร้องตอบว่า “เอ๋ย” พอช่วงท้ายพ่องูถามว่า “กินหัว กินหาง” แม่งูตอบว่า“กินกลางตลอดตัว” ผู้เป็นพ่องูจะไล่จับลูกงูจากปลายแถว
ฝ่ายแม่งูจะต้องกางมือเพื่อป้องกันลูก
หากลูกงูตัวใดถูกพ่องูดึงจนหลุดออกจากแถวไป ก็จะต้องออกจากการเล่น
ผู้เล่นที่เหลือก็เริ่มเล่นกันอีกจนกว่าลูกงูจะถูกจับจนหมด
|
วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ประเพณีชักพระ
ประเพณีชักพระหรือลากพระ เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาสันนิฐานว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอินเดีย ต่อมาพุทธศาสนิกชนได้นำเอาคติความเชื่อดังกล่าวมา
แล้วดัดแปลงปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา
เมื่อพุทธศาสนาได้เผยแพร่ถึงภาคใต้ของประเทศไทย จึงได้นำประเพณีชักพระเข้ามาด้วยและคนไทยย้อก็ได้นับถือหรือปฏิบัติตามกันมาจนถึงปัจจุบันเหมือนกันกับคนไทยส่วนใหญ่
ประเพณีชักพระ
เป็นประเพณีเนื่องในพุทธศาสนากระทำหลังจากวันมหาปวารณาหรือวันออกพรรษา 1 วัน ตรงกับวันแรม 1
ค่ำ เดือน 11 โดยพุทธศาสนาสนิกชนพร้อมใจกันอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบกที่วางอยู่เหนือเรือรถ
หรือล้อเลื่อน แล้วแห่แหนชักลากไปตามลำน้ำหรือตามถนนหนทาง
ถ้าท้องถิ่นในอยู่ริมน้ำหรือมีลำคลอง ก็ลากพระทางน้ำ
ถ้าห่างไกลลำคลองก็ลากพระทางบก
แล้วแต่สภาพภูมิประเทศเหมาะแก่การลากประเภทไหนมากกว่ากัน บางท้องที่ในจังหวัดตรัง
พัทลุง และสงขลา มีการลากพระบกในวันแรม 1 ค่ำ ในเดือน 5
ก็มีในประเพณีลากพระของชาวใต้มีมาแต่โบราณและก่อให้เกิดวัฒนธรรมอื่น
ๆ สืบเนื่องหลายอย่าง เช่น ประเพณีการแข่งเรือพาย การชัน (ประชัน) โพนหรือแข่งโพน
การประชันปืดหรือแข่งปืด กีฬาชัดต้ม การทำต้มย่าง และการเล่นเพลงเรือ เป็นต้น
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558
เดือนห้า บุญสงกรานต์
การทำบุญในเดือนห้า
ซึ่งชาวอีสานในอดีตถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่
เมื่อสมัยก่อนชาวอีสานก็ถือเอาเดือนอ้ายเป็นเดือนแรก
ของปีเช่นเดียวกับชาวล้านช้างทั่วไป
ต่อมาได้รับเอาอิทธิพลวัฒนธรรมชาวมอญ ชาวเขมร จึงเปลี่ยนมาเป็น เดือน ๕
วันขึ้นปีใหม่ จริงๆ ของชาวลาวจะอยู่ระหว่างเดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่ำ ไปถึงเดือน ๖ ขึ้น
๕ ค่ำ จะตกอยู่วันใดวันหนึ่งในช่วงนี้โดยถือเอาการคำนวณ จากอินเดียที่ยึดถือเอาความสั้นยาวของ
กลางวัน กลางคืน ชาวอีสานเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง จึงถือเอาเดือน
๕ เป็นปีใหม่
การทำบุญตรุษสงกรานต์หรือบุญเดือนห้า
ซึ่งพิธีการทำบุญตรุษสงกรานต์ นอกจากจะมีการสรงน้ำพระ แล้ว
ยังมีการสรงน้ำหรือรดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง
ผู้ที่เป็นผู้ที่สูงชาติกำเนิด ผู้ที่มีอุปการ
ณ เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น
ซึ่งถือว่าเป็นการรดน้ำดำหัวเพื่อขอพรให้ลูกหลานได้อยู่ชุ่มกินเย็น นอก จากการสรงน้ำพระและรดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว
ยังมีการสรงน้ำเครื่องค้ำของคูณต่าง ๆ เช่น คุด เขา นอ งา แข้วหมูตัน
จันทคาด เป็นต้น ซึ่งเป็นเครื่องค้ำของคูณเหล่านี้ถ้ามีอยู่บ้านใดเรือนใด
จะทำให้เจ้าของนั้นเรีอน อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวของเงินทอง
ในเทศกาลเช่นนี้ให้นำเอาเครื่องค้ำของคูณเหล่านั้นออกมาสรง จะทำให้ผู้ที่่เป็นเจ้าของมีความสุขความเจริญสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยข้าวของเงินทอง
วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558
ประเพณีทอดกฐิน
ประเพณีทอดกฐินก็เป็นประเพณีหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ได้มีโอกาสได้ทำบุญและเป็นอีกประเพณีหนึ่งที่คนไทยย้อก็มีโอกาสเหมือนคนทั่วๆไป และเป็นประเพณีที่สำคัญ อีกฤดูการหนึ่ง
แห่บุญกฐิน รอบโบสถ์
วัดภูกำพร้า บ้านมะนาว
ประเพณีทอดกฐินจะทำในช่วงวันแรม
๑ ค่ำ เดือน เกี๋ยงเหนือหรือเดือนตุลาคม ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่เหนือ
หรือเดือนพฤศจิกายน สมัยโบราณชาวล้านนาไม่นิยมทอดกฐินเนื่องจากว่าจะต้องใช้ปัจจัย
(เงิน) ค่อนข้างมาก ผู้ที่จะถวายกฐินได้จะต้องมีฐานะดีและมีความตั้งใจจริง
กองกฐินหรือปัจจัยที่ชาวบ้าน
นำมาทอดกัน
เมื่อผู้ใดมีความประสงค์จะถวายกฐิน
จะต้องจองกฐินที่วัด และบอกแก่ชาวบ้านให้ทราบโดยทั่วกัน
เมื่อถึงวันทอดกฐินก็จะมีการแห่กฐินมาทอดที่วัด
และในบางวัดจะมีมหรสพในตอนกลางคืนด้วย
วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558
บุญออกพรรษา (วันออกพรรษา)
ประเพณีการทำบุญออกพรรษาเป็นประเพณีหนึ่งที่คนไทยขาดหรือลืมไม่ได้ที่จะต้องปฏิบัติตามความเชื่อของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นคนในภาคกลาง ภาคเหนือ หรือภาคอีสานนั้นคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่คนไทยย้อส่วนใหญ่ได้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเ)้นอีกประเพณีหนึ่งที่คนไทยย้อได้ร่วมทำบุญด้วยมาแต่ก่อนจนถึงปัจจุบัน
การทำบูญออกพรรษานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีโอกาสว่ากล่าวตักเตือนกันได้ พระภิกษุสงฆ์สามารถเดินทาางไปอบรมศีลธรรม หรือไปเยี่ยม ถามข่าวคราว ญาติพี่น้องได้ และภิกษุสงฆ์สามารถหาผ้ามาผลัดเปลี่ยนได้เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตั้งแต่เช้ามืดจะมีการตีระฆังให้พระสงฆ?ไปรวมกันที่โบสถ์แสดงอาบัติเช้า จบแล้วมีการปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ กำหนดบูญออกพรรษาในเดือน 11
การทำบูญออกพรรษานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีโอกาสว่ากล่าวตักเตือนกันได้ พระภิกษุสงฆ์สามารถเดินทาางไปอบรมศีลธรรม หรือไปเยี่ยม ถามข่าวคราว ญาติพี่น้องได้ และภิกษุสงฆ์สามารถหาผ้ามาผลัดเปลี่ยนได้เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตั้งแต่เช้ามืดจะมีการตีระฆังให้พระสงฆ?ไปรวมกันที่โบสถ์แสดงอาบัติเช้า จบแล้วมีการปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ กำหนดบูญออกพรรษาในเดือน 11
วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558
บูญเข้าพรรษา(วันออกพรรษา)
วันเข้าพรรษาเป็นอีกประเพณีหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือและปฏิบัติตามคำสอนและเป็นความเชื่อทางพระพุทธสาสนาไม่ว่าจะเป็นคนไทยในภาคไหนก็ล้วนปฏิบัติตามคำสอนไม่ใช่เฉพาะคนไทยย้อที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งจะจัดงานทำบุญที่วัดหรือมีการแห่ขบวนเทียนตามหมู่บ้านหรือจังหวัด หรือตามอำเภอต่างๆ
การเข้าพรรษานั้นเป็นกิจกรรมของพระสงฆ์โดยเฉพาะ เดิมทีนั้นพระพุทธองค์ยังมิได้บัญญัติพระวินัยเรื่องการเข้าพรรษาของพระสงฆ์ แต่ต่อมาพระภิกษุสงฆ์ที่ออกไปเผยแผ่พระศาสนาในฤดูฝนนั้นได้เหยียบย่ำพืชที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้ ทำให้ได้รับความเสียหาย ต่อมาประชาชนได้ไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า ดังนั้นเพื่อมิให้ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์อยู่ประจำพรรษาในฤดูฝนตลอดระยะเวลา 3 เดือน
การเข้าพรรษานั้นเป็นกิจกรรมของพระสงฆ์โดยเฉพาะ เดิมทีนั้นพระพุทธองค์ยังมิได้บัญญัติพระวินัยเรื่องการเข้าพรรษาของพระสงฆ์ แต่ต่อมาพระภิกษุสงฆ์ที่ออกไปเผยแผ่พระศาสนาในฤดูฝนนั้นได้เหยียบย่ำพืชที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้ ทำให้ได้รับความเสียหาย ต่อมาประชาชนได้ไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า ดังนั้นเพื่อมิให้ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์อยู่ประจำพรรษาในฤดูฝนตลอดระยะเวลา 3 เดือน
วันแห่เทียนเข้าพรรษา เทศบาลเมืองมุกดาหาร
ในปี 2557 ที่ผ่านมา
ที่สำคัญคือ
มีการทำบุญถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระสงฆ์ ถวายเทียนพรรษาหรือหลอดไฟฟ้าให้แก่วัดต่างๆ
โดยเฉพาะวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา มีการทำบุญตักบาตร
นอกจากนั้นสำหรับผู้ที่มีใจศรัทธาในพระพุทธศาสนามากๆ นั้นอาจจะถือศิล และ
ประพฤติในธรรม ละเว้นอบายมุขเป็นเวลาตลอดทั้ง 3 เดือน
วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558
งานกาชาดและงานรวมเผ่า ไทยมุกดาหาร มะขามหวานชายโขง
ชาวไทยย้อก็อยู่ในแถบภาคอีสานและมีกลุ่มไทยย้อส่วนมากที่อาศัยอยู่ในเขตบริเวณจังหวัดมุกดาหารและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงในปัจจุบัน และเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมงานกาชาดที่จังหวัดมุกดาหารที่ได้จัดขึ้นเป็นประจำของทุกปี
งานกาชาด จังหวัดมุกดาหาร 2558
ระหว่างวันที่ 9-15 มกราคม
ทุกปีจังหวัดมุกดาหารเป็นเมืองเก่าแก่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงตรงข้ามกับแขวงสวันเขต
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจึงมีชาวไทยเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่หลายเผ่า อาทิ ผู้ไท
โซ่ ย้อ ข่า กะเลิง กุลา
ซึ่งแต่ละเผ่าล้วนแล้วแต่มีวิถี มีเอกลักษณ์และศิลปวัฒนธรรมของตนเอง นอกจากนี้มุกดาหารยังเป็นแหล่งกำเนิดมะขามหวานพันธุ์ดีที่มีชื่อเสียงโด่ง
ดังมานานหากแต่ยังขาดการส่งเสริมในด้านการตลาด
ดังนั้นเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ของดีของท้องถิ่นและส่งเสริมการเดินทาง
ท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร จึงได้จัดงานรวมเผ่าไทยมุกดาหารมะขามหวานชายโขง
ขึ้นเป็นประจำทุกปีระหว่างวันที่ 9-15 มกราคม รวม 7 วัน 7 คืนโดยงานจะจัดขึ้นบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด
กิจกรรมระหว่างงานมีขบวนแห่ ซึ่งใช้ผู้ฟ้อนนับร้อยคนแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า
มีการประกวดมะขามหวาน การประกวดธิดาเผ่าไทยการออกร้านของหน่วยงานต่างๆ
และการแสดงพื้นเมือง เป็นต้น
วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558
บุญข้าวสาก(บุญเดือน 10 )
งานบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัต)
คือ การทำบุญอุทิศส่วนกุสลไปให้กับเปรต
ซึ่งงานบุญข้าวสากกับงานบุญข้าวประดับดินในเดือน 9 จะมีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือ
เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตและผู้ล่วงลับไปแล้ว
ก่อนถึงวันงานชาวบ้านจะเตรียมการห่อข้าวสาก
เช่น ข้าว ถั่ว กอย หรือมันแกว
“สำหรับบุญข้าวสากในปัจจุบัน
จะกระทำในวันขึ้น 15 ค้ำ เดือน 10 โดยชาวบ้านจะนำอาหารคาวหวานใส่บาตรพอถึงตอนเพลชาวบ้านจะจัดสำรับกับข้าวและเครื่องไทยทาน
นำไปถวายพระโดยเขียนสลากบอกชื่อเจ้าของสำหรับแล้วใส่ลงบาตร
และนิมนต์ให้พระสงฆ์และสามเณรรูปใดจับสลากเป็นชื่อของใครคนนั้นก็จะนำสำรับกับข้าวไปถวายพระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้น”
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558
ประเพณีแห่ประสาทผึ้ง
ความเชื่อเรื่องการแห่ปราสาทผึ้ง คนไทยย้อก็มีความเชื่อในเรื่องนี้สืบต่อกันมาแต่ช้านาน เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางพุทธศาสนา
โดยเริ่ม พิธีกรรมนี้ ในภาคอีสาน ตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในตำนาน
เรื่องหนองหาน (สกลนคร) กล่าวไว้ว่า ในสมัยขอมเรืองอำนาจ
และครองเมืองหนองหานในแผ่นดินพระเจ้าสุวรรณภิงคาราช ได้โปรดให้
ข้าราชบริพารทำต้นผึ้งหรือปราสาทผึ้งในวันออกพรรษา เพื่อให้ครบวันที่วัดเชิงชุม
(วัดมหาธาตุเชิงชุมวรวิหาร) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดวันปราสาทผึ้ง
ติดต่อกันมาทุกปี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)